วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยี DNA

พันธุวิศวกรรม
ลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้นมีแตกต่างกันอย่างมากมาย แม้แต่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้เอง ที่ทำให้มนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีที่สุด เกิดความคิดที่จะปรับแต่งลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือแม้กระทั้งมนุษย์เอง ซึ่งเมื่อมีความคิดเหล่านี้แล้ว ย่อมทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น ซึ่งเรียกว่า
พันธุวิศวกรรม
          พันธุวิศวกรรม
คือการออกแบบลักษณะทางพันธุกรรม แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
หนึ่ง สร้าง DNA สายผสม จาก DNA พาหา (vector) กับ DNA ของสิ่งมีชีวิตที่สนใจ สอง นำ DNA เข้า cell เจ้าบ้าน สาม เพิ่มจำนวน cell ของเจ้าบ้าน เพื่อทำให้ DNA สายผสมเพิ่มขึ้น สี่ สกัดสารจาก cell ของเจ้าบ้านออกมา ต่อไปเป็นการโคลนยีน แบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้ แบบที่หนึ่งเรียกว่า plasmic คือ การเลือก plasmic จากแบคทีเรีย จากนั้นนำ cell ที่ต้องการโคลนมาใส่ใน plasmic ที่เลือกมา แล้วทำให้ทำให้ cell เพิ่มจำนวนขึ้น จากนั้นทำนำ cell ไปใส่ใน ยาปฏิชีวินะเพี่อทำการคัดเลือก cell ที่สามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้ แบบที่สอง pcr คือการโคลนยีนเพื่อการศึกษา เช่น การผลิต insulin หรือ glucagon  และการตัดจำเพาะ คือการตัดสาย nucleotide โดย enzyme และจะมีการตัดแบบจำเพาะต่อคู่เบส 6คู่เบสและ 4คู่เบส เช่น enzyme hea3 จะตัดเมื่อมี 4 คู่เบส คู่เบสเป็น GG /CC  enzyme hide3 จะตัดเมื่อมี 6 คู่เบส
คู่เบสที่มีเบส
G ติดกับเบส G เช่น G/GCCTT เป็นต้น
           Genome
คือ การศึกษาข้อมูลทั้งหมดของสารพันธุกรรม เช่น chromosome, DNA, gene ไปจนถึงลำดับ base ในสาย polynucleotide เป็นต้น โดยการศึกษานั้น จะนำเอาชิ้นส่วน cell จากสิ่งมีชีวิตที่สนใจ จากนั้นนำไปใส่ gel ที่อยู่ในเครื่องมือที่มีชื่อว่า thermo cycler  เรียกกระบวนการนี้ว่า electrolysis การทำงานคือ จากการที่ DNA มีประจุลบ ดังนั้นจึงต้องวิ่งเข้าหาประจุบวกเสมอ ดังนั้นระยะทางที่ DNA แต่ละบริเวณวิ่งได้ก็จะต่างกัน เนื่องจากมีมวลที่ต่างกัน ที่มีมวลหรือมีคู่เบสมาก ก็จะวิ่งได้ระยะทางใกล้ ที่มีมวลหรือคู่เบสน้อย ก็จะวิ่งได้ระยะทางไกลออกไป ตามลำดับ

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของ DNA ในทางแพทย์เมื่อพบอาการที่ผิดที่แสดงออกมาทาง phenotype เนื่องจากความผิดปกติของคู่เบส มนุษย์ก็สามารถแก้ไขได้ โดยการนำเอา cell ทีได้จากการโคลนยีน และ พาหะ (vector) จากนั้นนำไปใส่แทนคู่เบสที่ผิดปกติ โดยการนำทางของ vector ก็จะทำให้ ลักษณะที่แสดงออกมานั้นเป็นปกติ และในทางการเกษตร เนื่องจากความฉลาดของมนุษย์ บวกกับความไม่เพียงพอ เมื่อพบว่าพืชที่มีอยู่นั้นไม่ดีพอ ก็สามารถนำความรู้ทางพันธุวิศวกรรมมาปรับใช้ได้ โดยการตัดแต่งยีนของพืช ทำให้ได้พืชที่ต้องการ เช่นพืชทนแดด พืชที่กินน้ำน้อย หรือแม้กระทั้งพืชที่ทนได้ในทุกสภาพแวดล้อม เรียกพืชเหล่านี้ว่า พืช GMO
          มนุษย์สามารถทำอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง เว้นแต่ว่าเขาจะใช้สิ่งนั้นเหมาะสมหรือไม่ ถ้านำไปใช้ในทางที่ดี ก็จะเกิดประโยชน์มากมาย แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ก็จะเกิดโทษที่ไม่อาจคาดคิดได้ ดังนั้น เราที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราก็เลือกเอาเองว่าเราจะนำสิ่งเหล่านั้นมาทำให้เกิดประโยชน์หรือโทษ
  

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

แผนที่ความคิด

1.มารู้จักสารพันธุกรรม

2.การทำงานของสารพันธุกรรม




3. Mutation


วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีชีวภาพคืออะไร ??

1. A general description of Biotechnology is using living thing to create products or to do tasks for human beings.
2. “The application of science and technology to living organisms, as well as parts, products and models thereof, to alter living or non-living materials for the production of knowledge, goods and services.”
3. Biotechnology (sometimes shortened to “biotech“) is the use of living systems and organisms to develop or make useful products, and it is usually seen in agriculture, food production and medicine production. Modern use of similar terms includes genetic engineering as well as cell and tissue culturetechnologies. The concept encompasses a wide range of procedures (and history) for modifying living organisms according to human purposes — going back to domestication of animals, cultivation of plants, and “improvements” to these through breeding programs that employ artificial selection andhybridization. By comparison to biotechnology, bioengineering is generally thought of as a related field with its emphasis more on higher systems approaches (not necessarily altering or using biological materials directly) for interfacing with and utilizing living things. The United Nations Convention on Biological Diversity defines biotechnology as:[1]
“Any technological application that uses biological systems, living organisms, or derivatives thereof, to make or modify products or processes for specific use.”

ความหมายของเทคโนโลยีชีวภาพ..

 เทคโนโลยีชีวภาพ คือ เทคโนโลยีซึ่งนำเอาความรู้ทางด้านต่างๆของวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต หรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต หรือผลผลิตของสิ่งมีชีวิต เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นทางการผลิตหรือทางกระบวนการ ของสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ประโยชน์เฉพาะอย่างตามที่เราต้องการ โดยสามารถใช้ประโยชน์ทางด้านต่างๆ เช่น ด้านการเกษตร ด้านอาหาร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทางการแพทย์ เป็นต้น
     โดยทาง United Nations Convention on Biological Diversity ได้ให้นิยามของเทคโนโลยีชีวภาพ ไว้ว่า
“Any technological application that uses biological systems, living organisms, or derivatives thereof, to make or modify products or processes for specific use.”
     ”การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆมาใช้กับ ระบบทางชีวภาพ หรือ สิ่งมีชีวิต(ที่มีชีวิตอยู่) หรือ สิ่งที่ได้จากระบบทางชีวภาพและสิ่งมีชีวิต เพื่อที่ทำการสร้างหรือปรับปรุงแก้ไข ผลิตภัณฑ์ หรือ กระบวนการ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องเฉพาะด้าน”

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สมรรถนะ 5 ประการ


1 สมรรถนะด้านการสื่อสาร


2 สมรรถนะด้านการคิด



3 สมรรถนะด้านการใช้ชีวิต




4 สมรรถนะด้านการใช้เทคโนโลยี



5 สมรรถนะด้านการแก้ปัญหา




คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ

1 ใฝ่เรียนรู้
การที่เราเป็นนักเรียน เราต้องมีจิตใจที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาความรู้ให้มากขึ้นกว่าที่มีอยู่

2 มีความซื่อสัตย์
การที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็ความมีความซื่อสัตย์ต่อกัน

3 มีจิตสาธารณะ
การที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขนั้น บางครั้งเราก็ต้องมีการเสียสละบ้าง บางเวลา

4 มีวินัย
เราควรมีวินัยในตนเอง เพราะจะทำให้เราเป็นคนที่ดูน่ารัก เป็นที่เคารพนับถือของคนในสังคมนั้นๆ

5 มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
การที่เราทำอะไรซักอย่างนั้น เราต้องมีความตั้งใจและมุ่งมั้นที่จะทำให้งานนั้นสำเร็จ งานจึงจะสำเร็จได้

6 รักความเป็นไทย
เราเกิดมาโชคดีที่ได้เป็นคนไทย เพราะคนไทยมีมารยาทที่ดี มีสิ่งต่างๆที่ดี เราต้องรักในความเป็นไทย

7 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่ต้องเคารพและนับถือ เพราะเป็นสิ่งที่ดีงามประจำชาติไทย

8 การอยู่อย่างพอเพียง
ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงแล้วนั้น จะทำให้คนเราอยู่อย่างเป็นสุขได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องลำบากผู้อื่น เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่อย่างพอเพียงให้ได้ ถึงจะดีในชีวิต

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติย่อ

ประวัติย่อ
ชื่อ : นายฐาปกรณ์  บุษบา
ชื่อเล่น : นุ
อายุ : 18  ปี
จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจาก : รร. นพ.
กำลังศึกษาอยู่ : ชั้น ม.6/12  รร. นพ.
E-mail : Thapakorn555@gmail.com
Blog : Thapakorn55.blogspot.com
สีที่ชอบ : สีเขียว
อาหารที่ชอบ : ต้มยำ
เพลงที่ชอบ : เพลง คนที่แสนดี
งานอดิเรก : อ่านหนังสือ.ฟังเพลง

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
1) มีคนบอกว่า มนุษย์รู้ว่าสามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆไปสูลูกหลานได้ แต่ยังไม่รู้จักพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะเหล่านั้น  จนกระทั้งวันหนึ่ง มีคนชื่อ เกรเกอร์ โยฮัน เมลเดล ที่สามารถอธิบายลักษณะต่างๆ เหล่านี้ได้ และได้ค้นพบกฎเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
เมลเดล เกิดในปี พ.ศ.2365 เป็นชาวออสเตรีย เขาสนใจที่จะศึกษาเล่าเรียน จึงได้ไปเรียนที่โบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงบรุนน์ หรือเมืองเบรอโน ในสาธารณรัฐเช็ค เมลเดลได้เริ่มทำการทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตา และสังเกตเห็นว่าลักษณะในรุ่นพ่อแม่จะปรากฏออกมาในรุ่นลูกเสมอ และเขาก็ค้นพบกฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ สาเหตุที่เขาเลือกถั่วลันเตาเป็นพืชทดลอง เนื่องจากสามารถควบคุมได้ง่าย โดยเลือกถั่วลันเตาที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน 7 ชนิด ที่ชัดเจน คือ ความสูงของลำต้น รูปร่างของฝัก สีของเมล็ด ตำแหน่งของดอก รูปร่างของเมล็ด สีของดอก สีของฝัก หลังจากได้ทำการเลือกแล้วเขาก็ได้ทำการทดลองโดยการนำเอา ถั่วลันเตารุ่นพ่อแม่ เมล็ดสีเหลือง และเมล็ดสีเขียวมาผสมพันธุ์กัน พบว่าได้รุ่นลูกออกมาเป็นถั่วลันเตาเมล็ดสีเขียวทั้งหมด ทำให้เขาสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วเมล็ดสีเหลืองหายไปไหนหมด ต่อมาเขาก็นำรุ่นลูกไปผสมต่อ และผลก็ได้ว่า จากทั้งหมด 580 ต้น ได้ต้นเมล็ดสีเขียว 428 ต้น และได้ต้นเมล็ดสีเหลือง 152 ต้น คิดเป็น 2.8 ต่อ 1 เมื่อเขาได้ทำการทดลองกับอีก 6 ลักษณะ ผลก็เป็นเหมือนเดิม ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ดังนั้นเมลเดลจึงได้ค้นพบว่าถั่วลันเตามีหน่วยควบคุม และเรียกมันว่า แฟกเตอร์ โดยเมล็ดสีเขียวพันธุ์จะมีแฟกเตอร์ 2 แฟกเตอร์ควบคุม และถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูก รุ่นที่ 1 เป็นพันธุ์แท้ และ แฟกเตอร์นี้ก็จะถ่ายทอดไปยังรุ่นที่ 2 จึงทำให้เกิดเมล็ดสีเหลือกเป็นพันธุ์ทาง เพราะแฟกเตอร์เจอแฟกเตอร์ ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยน คำว่า แฟกเตอร์ เป็น ยีนแทน โดยยีนควบคุมเมล็ดสีเขียวเป็นยีนเด่น และยีนควบคุมเมล็ดสีเหลืองเป็นยีนด้อย โดยใช้สัญลักษณ์ดังนี้ G แทนฝักเขียว และ g แทนฝักเหลือง Rแทนเมล็ดกลม และ r แทนเมล็ดขรุขระ โดยจะควบคุมเป็นคู่ๆ เช่น GG, Gg ,gg เป็นต้น โดยยีนที่เข้าคู่เดียวกันอยู่ตำแหน่งเดียวกันเรียกว่า แอลลีส เช่น Gกับg ที่ควบคุมฝักเขียวและฝักเหลืองเป็นแอลลีสกัน และ GG Gg จะแสดงออกในลักษณะฝักสีเขียว แต่ gg จะแสดงออกในฝักสีเหลือง เรียกว่า จีโนไทป์ และลักษณะที่แสดงออกเรียกว่า ฟีโนไทป์ และเรียกลักษณะที่มี 2 ยีนเหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ หรือ พันธุ์แท้  ส่วนลักษณะ Gg เรียกว่า เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์ หรือลูกผสม นั้นเอง
2 ความน่าจะเป็นและกฎแห่งการแยก
จากการทดลองของ เมลเดล จะเห็นได้ว่าอัตราส่วนของของลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยเป็น 3;1  ซึ่งอัตราส่วนนี้ไม่ใช่ เมลเดลที่พบคนแรก แต่คนที่พบก่อนไม่สามารถอธิบายได้ และเพราะเมลเดล เก่งในเรื่องของสถิติ และเลข จึงสามารถคำนวณเกี่ยวกับความน่าจะเป็นเหล่านี้ได้ อาจจะเปรียบเทียบกับการโยนเหรียญก็ได้ ถั่วลันเตาที่มีฟีโนไทป์เป็นสีเขียวและมี จีโนไทป์เป็น Gg เหมือนกับการโยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน ซึ่งโอกาสเข้าคู่ก็จะเป็น GG Gg gg ได้เป็นอัตราส่วน 1;2;1 หรืออัตราส่วนของจีโนไทป์ เป็น 3;1 นั้นเอง ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าว G และ g ต้องแยกออกจากกันไปสู่เชลล์สืบพันธุ์ ซึ่งเมลเดลยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเชลล์ต้องแยกออกจากกัน และการแบ่งเชลล์แบบไม่โอซิส แต่เนื่องจากความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์จึงทำให้ เมลเดล ค้นพบกฎแห่งการแยก ซึ่งเป็นกฎที่สำคัญในวิชาพันธุศาสตร์ และจากการทดลอง
3 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ
ต่อมาเมลเดลก็ได้เริ่มทำการทดลองเกี่ยวกับการผสมโดยที่มี 2 ลักษณะไปพร้อมๆกัน เรียกว่า การผสมพิจารณาสองลักษณะ โดยเขาได้ทดลองนำ ถั่วลันเตาเมล็ดกลม สีเขียว ซึ่งเป็นลักษณะเด่น ผสมกับ เมล็ดขรุขระ สีเหลือง ซึ่งเป็นลักษณะด้อย ได้ลูกรุ่นที่ 1 เป็นเมล็ดกลมสีเหลือง และลูกรุ่นที่ 2 เป็นอัตราส่วน 9;3;3;1 และจากอัตราส่วนของเมล็ดกลมต่อเมล็ดขรุขระ เป็น 3;1 และ เมล็ดสีเขียวต่อสีเหลือง เป็น 3;1  ซึ่งเป็นไปตามกฎที่น่าจะเป็น ยีนที่ควบคุมลักษณะสีและลักษณะรูปร่างของเมล็ด ที่แยกกันแล้วกลับมารวมกันได้ภายหลัง จึงเกิดเป็น กฎข้อที่ 2 คือ กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ สรุปได้ว่ายีนที่แยกออกจากันเป็นคู่ๆ จะสามารถรวมกลุ่มกลับยีนอื่นแล้วไปอยู่ในเชลล์สืบพันธุ์ ทำให้สามารถทำนายอัตราส่วนได้
โดยการนำเอายีน RY rY  Yr  ry  มาผสมกันแล้วได้ลูกรุ่นที่ 1 ในอัตราส่วน 1;1;1;1 และสามารถรวมกลุ่มกันอย่างอิสระ ได้อัตราส่วน 9;3;3;1
            4 การผสมเพื่อทดสอบ
เมื่อนำสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเด่นไปผสมกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะด้อย ถ้าลูกที่ออกมาเป็นเด่นหมดเรียกว่าเป็น ฮอมอไซกัสกัน แต่ถ้าลูกที่ออกมาเป็นเด่นต่อด้อย 1;1 เรียกว่าเป็น เฮเทอโรไซกัสกัน วิธีทดสอบนี้เรียกว่า การผสมเพื่อทดสอบ
            5 ลักษณะทางพันธุกรรมที่นอกเหนือกฎของเมลเดล
จากกฎของเมลเดล ก็ไม่สามารถอธิบายลักษณะของบางอย่างได้ เช่น ดอกบานเย็นสีแดงผสมกับดอกบานเย็นสีขาว ไม่ว่าแดงหรือขาวจะเป็นยีนเด่นหรือยีนด้อยต่อกัน ลูกออกมาก็จะเป็นสีขาวและสีแดง เท่านั้น แต่ คาร์ล คอร์เรนส์ นักพฤกษาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ทำการผสมดอกบานเย็นสีแดงกับสีขาวปรากฏว่าได้ดอกบานเย็นสีชมพู ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎของเมลเดล
            5.1 ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์
เมื่อลองนำสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีดอกสีแดง และสีขาวที่เป็นพันธุ์แท้ทั้งหมดมาผสมกัน ปรากฏว่าได้ลูกรุ่นที่ 1 เป็นสีชมพู และรุ่นที่ 2 เป็นสีแดง สีชมพู และสีขาว นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นกับสีผมของคนอีกด้วย เช่นกรณีที่ พ่อแม่ ผมหยักศกและ ผมหยิก ที่มีจีโนไทป์เป็น HH จะได้ผมรุ่นลูกในอัตราส่วนของผมหยิก ต่อ ผมหยักศก ต่อ ผมตรง เป็น 1;2;1
            5.2 การข่มร่วมกัน
หมู่เลือด A มีแอนติเจนA และหมู่เลือด B มีแอนติเจน B ดังนั้น พ่อแม่ที่หมู่เลือด AและB ตามลำดับลูกออกมาจะมีหมู่เลือด AB
5.3 มัลติเปิลแอลลีส
ลักษณะพันธุกรรมของหมู่เลือด ABO มีแอลลิลมากกว่า 2 แบบ คือ IA ,IB ,และ หมู่ i จากการทดลองของ เอฟ เบรินสไตน์ ซึ่งเป็นคนแรกที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับหมู่เลือก ABO ได้
เช่น พ่อกับแม่ที่มีหมู่เลือด A และAB ตามลำดับ อัตราส่วนที่ลูกออกมาจะมีหมู่เลือด AและB เป็น 1;1
          5.4 พอลิยีน
จากการทดลองนำยีน 3 คู่มาผสมกัน โดยให้ สีแดงเป็นยีนเด่นและสีขาวเป็นยีนด้อย ลูกรุ่นที่ 1 ออกมานะมีสีชมพูทั้งหมด และพอนำลูกรุ่นที่  1 มาผสมกันเอง จะได้ลูกรุ่นที่ 2 เป็น 7 ลักษณะด้วยกัน เรียกว่า ความแปรผันทางพันธุกรรม
            5.5 ยีนในโครโมโซมเพศ
โครโมโซมในร่างกายมีทั้งหมด 23 คู่ และ 22 คู่จะควบคุมลักษณะต่างๆของร่างกายและ อีก 1 คู่จะควบคุมลักษณะของเพศ โดยเพศชาย คือ XY ผู้หญิง มี XX
            5.6 ยีนในโครโมโซมเดียวกัน
ยีนที่ควบคุมลักษณะต่างๆมีอยู่หลายยีน เช่น แมลงหวีมียีน 5,000 ยีน บนโครโมโซม 4 คู่ โดยมีนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอว่ายีนมีมากมาย การที่ยีน 2 ตำแหน่งหรือมากกว่า จะมีการถ่ายทอดไปพร้อมๆกัน เรียกว่า ลิงค์เกจ โดยได้ศึกษาลักษณะต่างๆ ของแมลงหวี ตั้งแต่ ความยากส่วนต่างๆของร่างกาย  ได้ข้อสรุปว่า แมลงหวี่ที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้สี่แบบ ลูกออกมาจะมีด้วยกัน 4 ลักษณะเช่นกัน
            5.7 พันธุกรรมที่ขึ้นกับอิทธิพลของเพศ
ลักษณะต่างของพันธุกรรมก็ขึ้นอยู่กับเพศ และฮอร์โมนเพศนั้น เช่นลักษณะร่างกาย ลักษณะของเส้นผม ลักษณะของสีผม เป็นต้น โดยลักษณะต่างๆเหล่านี้ เพศชายและเพศหญิงจะแสดงออกไม่เหมือนกัน
            5.8 พันธุกรรมจำกัดเพศ
ลักษณะพันธุกรรมที่ควบคุมด้วยยีนบนออโทโซม บางลักษณะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดแล้วและลักษณะของแต่ละเพศนั้นๆ เช่นลักษณะต่างๆของผู้ชายกับลักษณะต่างๆของผู้หญิง ซึ่งจีโนไทป์และฟีโนไทป์จะไม่เหมือนกัน เรียกลักษณะจำเพราะต่อเพศนี้ว่า ลักษณะจำกัดเพศ